รอฟังคำตอบด้วยเช่นกันค่ะ

ปกติ จะมีสูตรการปรับครับ

คนที่ได้อยู่ก่อนแล้วก็จะถูกปรับขึ้นไปด้วย  แต่จะไปจบที่คนค่าแรงเท่าไรนั้น สูตรคำนวนจะบอกครับ

 เราคงทำอะไรมากไม่ได้แล้วครับ เพราะประกาศเป็นกฎหมายออกมาแล้ว ซึ่งคงต้องทำตามกฎหมาย แต่ทางแก้ก็มีคือ เงินต่างๆที่นายจ้างจ่ายให้ หากมีความหมายเป็นค่าจ้าง เมื่อเอามาบวกๆกันแล้ว หากเกินกว่า 300 ก็ถือว่าใช้ได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนช่อ เช่น มีค่าจ้างวันละ 250 บาท ค่าครองชีพ 30 บาท/วัน ค่าเซอร์วิสชาร์ต วันละ 50 บาท รวมกันแล้ว 330 บาทก็ถือว่าใช้ได้แล้ว โดยไม่ต้องเปลี่ยนชื่อเรียกเงินเหล่านั้นเพราะความหมายของค่าจ้างขั้นต่ำ ระบุเพียงค่าจ้าง ไม่ได้รับุว่าเป็นค่าจ้างพื้นฐาน ดังนั้นก็สามารถเอาเงินที่เป็นค่าจ้างมารวมได้ด้วย  

ผมใช้วิธีนี้ครับ  ปรับเพิ่มให้กับพนักงานทุกคนตามผลต่างของค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัดนั้น  ตัวอย่าง

จังหวัดA ค่าจ้างขั้นต่ำเดิม 168  ค่าจ้างขั้นต่ำปรับใหม่เป็น  234  มีส่วนต่าง 66 บาท/วัน

นำส่วนต่างไปเพิ่มค่าจ้างให้พนักงานแต่ละคน ทั้งรายวันและรายเดือน (66x26 หรือ 66x30 แล้วแต่ประเภทลูกจ้าง)

แต่วิธีนี้อาจมีข้อจำกัดเรื่องต้นทุนค่าจ้างแรงงาน  คงไม่สามารถทำได้ทุกที่นะครับ

 การปรับค่าจ้างนั้น ต้องพิจารณาผลกระทบกัลลูกจ้างเก่าด้วยครับ การที่ปรับให้คนที่ไม่มีประสพการณ์ทำให้เงินค่าจ้างของคนเก่าและคนใหม่ใกล้เคียงกันก็จะมีปัญหาด้านแรงงานสัมพันธ์ หลายนายจ้างเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นแล้ว ที่คทำงา 10 ปี กับคทำงาน ไม่ถึงปี เงินค่าจ้างต่างกัน200-300 บาท

นายจ้างหลายรายปรับค่าจ้างตามลำดับการลดหลั่น เพื่อรักษาช่องว่างระหว่างคเก่า กับคนใหม่ ปัญหาที่ตามมาคือต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ที่รัฐพูดว่ากระทบต้นทุน 1% นั้น ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะการเพิ่มค่าจ้างหรือฐานเงินเดือน เป็การเพิ่มในเรื่องของค่าล่วงเวลา เงินโบนัส ฯลฯ ซึ่งมีผลกระทบต่อต้นทุนของนายจ้างโดยตรง ไม่ใช่เพียง 1% แต่ประมาณ 4-5% ที่เพิ่มขึ้น และหากนายจ้างต้องการลดต้นทุนในเรื่องของคน ก็ติดมาตรา 20 พรบ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 อีก 

ดังนั้นการปรับต้องพิจารณาให้ดี และอธิบายให้ลูกจ้างทราบ เพื่อสร้างการแรงงานสัมพันธ์ที่ดีด้วยครับ