|
นายจ้างกล่าวหาว่าทุจริตไม่จ่ายค่าชดเชย ทำอย่างไรดีค่ะ | |
นายจ้างเลิกจ้างได้ไม่จ่ายค่าชดเชยและไม่จ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าเนื่องจากนายจ้างอ้างด้วยวาจาว่าลูกจ้างมีความผิดในข้อหาลักทรัพย์ แต่ระบุในหนังสือเลิกจ้างว่า มีความผิด 1. ทุจริตต่อหน้าที่ 2. กระทำความผิดอาญาต่อบริษัท 3. จงใจทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย 4. ฝ่าฝืนนโยบายของบริษัท นายจ้างกล่าวหาว่าลักทรัพย์ของบริษัทที่ผลิตเพื่อแจกพนักงานไปขายทำให้นายจ้างเสียหายประมาณหมื่นกว่าบาท ในขณะที่ดิฉันก็แสดงใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีตัวจริงว่าดิฉันได้จ่ายเงินจริง เนื่องจากคำให้การของ Supplier ให้การ 2 ครั้งไม่ตรงกัน ครั้งที่หนึ่งให้การว่า ไม่ได้ขายสินค้าให้กับดิฉัน ครั้งที่สอง ให้การว่าได้ทำการขายสินค้าให้ดิฉัน เนื่องจาก supplier จำผิด นายจ้างให้น้ำหนักเชื่อคำให้การครั้งแรก ไม่เชื่อครั้งที่สอง เพื่อนร่วมงานและสหภาพฯเกือบทั้งหมด เป็นพยานให้นายจ้างก็ไม่เชื่อ ดิฉันก็บอกให้นายจ้างไปแจ้งความหากเชื่อว่าดิฉันลักทรัพย์จริง นายจ้างก็ไม่ยอมไปแจ้ง กลับเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยทันที ไม่ทราบว่าควรจะทำอย่างไรดีที่เราจะพิสูจน์ว่าเราไม่ได้ทุจริตค่ะ | |
ผู้ตั้งกระทู้ พนักงานบริษัท :: วันที่ลงประกาศ 2007-09-03 07:56:48 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1142642) | |
ปัญหาว่า ลูกจ้างทุจริตหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานทั้งบุคคลและเอกสารที่นำสืบในศาล ฝ่ายใดมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่า ฝ่ายนั้นจะชนะคดี พยานที่น่าเชื่อถือ คือ พยานที่สามารถตอบข้อสงสัยได้อย่างมีเหตุมีผล ขอให้กำลังใจในการพิสูจน์ความจริง
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น webmaster วันที่ตอบ 2007-09-03 19:28:08 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1142794) | |
ขอบพระคุณค่ะ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พนักงานบริษัท วันที่ตอบ 2007-09-03 22:06:10 |
ความคิดเห็นที่ 3 (1154945) | |
เก็บมาฝากค่ะ คนสามคน น่าอ่าน ณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตเห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย ฮือ ฮือ หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า เจ้ารู้ไหมในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเรา เป็น คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา คนเราล้วนมีความฝัน ความทะเยอทะยานอยาก ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตนเพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอายเพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้ อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนี ทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัวแล้ว เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาน ใจแคบ มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้ว เริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง ยังไม่ต้องชำระ ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม เข้าใจครับหลวงตา เด็กน้อยยิ้มมีความสุขอีกครั้ง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น พนักงานบริษัท วันที่ตอบ 2007-09-14 05:32:55 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 322688 |