การจ่ายเงินสกุลอื่นตามสัญญาจ้างเป็นเงินไทยทำอย่างไร?จึงถูกกฎหมาย
สัญญาจ้างแรงงานกำหนดให้จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างเป็นเงินดอลล่าห์สหรัฐ ต่อมาลูกจ้างถูกเลิกจ้างนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยในวันเลิกจ้าง จนกระทั้งลูกจ้างฟ้องคดีต่อศาลเรียกให้ชำระค่าชดเชยเป็นเงินดอลล่าห์สหรัฐ นายจ้างประสงค์จะจ่ายเงินค่าชดเชยให้เป็นเงินไทยต้องดำเนินการอย่างไรจึงจะชอบด้วยกฎหมาย ?สิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อเกิดปัญหาเรื่องนี้ คือ นายจ้างจำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นเงินดอลล่าห์สหรัฐตามสัญญาจ้างหรือไม่ จ่ายเป็นเงินไทยได้หรือไม่ ถ้าได้ถืออัตราแลกเปลี่ยนสถานที่ใด และถืออัตราแลกเปลี่ยน ณ วันใด คำตอบเรื่องนี้ก็คือ เมื่อสัญญาเขียนไว้ว่าให้จ่ายค่าจ้างและเงินอื่นๆเป็นเงินดอลล่าห์สหรัฐนายจ้างย่อมต้องจ่ายเป็นเงินดอลล่าห์สหรัฐ (ห้ามเบี้ยว) เพื่อให้สัญญาเป็นไปตามสัญญา แต่ถ้านายจ้างต้องการจ่ายเป็นเงินไทยแทนจะได้หรือไม่ คำตอบคือ ได้ เหตุเพราะกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 196 กำหนดไว้ว่า ถ้าหนี้เงินได้แสดงไว้เป็นเงินต่างประเทศ ท่านว่าจะส่งใช้เป็นเงินไทยก็ได้ (เห็นไหมทำได้) แล้วการแลกเปลี่ยนเงินนี้จะคิดอัตราแลกเปลี่ยน ณ สถานที่ใด เรื่องนี้กฎหมายก็กำหนดไว้แล้วว่า ให้คิดอัตราแลกเปลี่ยน ณ สถานที่ใช้เงิน ซึ่งจะไม่มีปัญหาในทางปฎิบัติเนื่องจากไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพหรือจังหวัดใดๆในประเทศไทยอัตราแลกเปลี่ยนก็ไม่แตกต่างกัน แล้วอัตราแลกเปลี่ยนใช้อัตราของราชการหรืออัตราแลกเปลี่ยนในตลาดเสรีซึ่งอาจแตกต่างกันโดยเฉพาะอัตราที่ราชการกำหนดมักจะต่ำกว่าอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดเสรี เรื่องนี้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า ให้ถืออัตราแลกเปลี่ยนในตลาดเสรี คือ อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ โดยถือเอาอัตราธนาคารพาณิชย์ที่ทำการขายเงินต่างประเทศชนิดนั้นๆเป็นเงินไทย (ฎีกาที่ 1693/2493) แล้วอัตราแลกเปลี่ยนนี้ถืออัตราที่ธนาคารพาณิชย์ซื้อหรือขายเงินสกุลนั้นๆละ เรื่องนี้เคยเถียงกัน ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงินเหรียญฮ่องกง เมื่อจำเลยชำระหนี้เป็นเงินไทยก็ต้องถือตามอัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารขายเหรียญฮ่องกงนั้น มิใช่อัตราที่ธนาคารรับซื้อ (ฎีกาที่ 419/2536) ชัดไหม แล้วอัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลาชำระหนี้ หมายความว่าอย่างไร จะหมายถึงอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเวลาชำระหนี้จริงๆ หรืออัตราแลกเปลี่ยนเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ กรณีเงินค่าชดเชยกฎหมายถือว่าหนี้ถึงกำหนดชำระในวันเลิกจ้าง แต่นายจ้างยังไม่ได้ชำระจนกระทั้งถูกฟ้องคดีต่อศาลแล้วอัตราแลกเปลี่ยนในวันเลิกจ้างกับวันที่ต้องการชำระหนี้จริงๆแตกต่างกันจะถืออัตราแลกเปลี่ยนในวันใดจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย เรื่องนี้ศาลฎีกาให้ถืออัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่มีการชำระหนี้จริง มิใช่วันที่หนี้ถึงกำหนดชำระ แต่วันที่ชำระหนี้จริงก็อาจมิได้เป็นไปตามประสงค์ของลูกหนี้เสมอไป ศาลฎีกาเคยพิพากษาให้การชำระหนี้เงินตราต่างประเทศด้วยเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในวันที่ศาลฎีกาพิพากษา ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าวไม่มี ก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนวันพิพากษา (ฎีกาที่ 33523/2529) อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ได้มีการชำระหนี้นั้นศาลฎีกาจะใช้ดุลพินิจตามความเหมาะสมแก่รูปคดีแต่ละคดีจึงอาจแตกต่างกัน เช่น ศาลฎีกาเคยพิพากษาว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้คิดอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ได้มีการชำระเงินนั้น น่าจะไม่สะดวกแก่การบังคับคดี สมควรแก้ไขเป็นอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ศาลฎีกาพิพากษา (ฎีกาที่ 3352/2529) นอกจากนี้ยังถือว่าปัญหาเรื่องนี้เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ (ฎีกาที่ 3529/2542) เห็นไหม เพียงแค่อัตราแลกเปลี่ยนและวันที่ชำระหนี้ก็ยังมีปัญหาให้คบคิดกันมากมาย แล้วเกี่ยวกับการชำระหนี้เป็นเงินต่างประเทศนี้ยังมีปัญหาอื่นให้คบคิดกันอีกหรือไม่ (มีซิ) มีอีกหลายเรื่องด้วย เช่น ลูกจ้างฟ้องศาลบังคับให้นายจ้างชำระค่าชดเชยเป็นเงินดอลล่าห์สหรัฐ ศาลจะพิพากษาให้นายจ้างชำระเป็นเงินไทยแทนได้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ได้ เนื่องจากเป็นสิทธิของลูกหนี้ที่จะเลือกปฎิบัติการชำระหนี้ศาลไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงสิทธิของลูกหนี้ได้โดยลำพัง (ฎีกาที่ 1522/2544) แล้วถ้าโจทก์บรรยายฟ้องขอให้ชำระหนี้เป็นเงินดอลล่าห์สหรัฐแต่คิดคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยมาพร้อมเสร็จ (ขยัน) ตามจำนวนที่ปรากฏในคำขอท้ายฟ้อง (ถือวันใดเป็นฐานในการคำนวณก็ไม่รู้) เมื่อศาลต้องพิพากษาให้นายจ้างชำระค่าชดเชยเป็นเงินดอลล่าห์สหรัฐ ถืออัตราแลกเปลี่ยน ณ วันชำระหนี้จริง ตามที่กฎหมายกำหนด ถ้าในวันชำระหนี้จริงอัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าวันที่โจทก์คำนวณมาท้ายฟ้อง เช่นนี้ โจทก์จะมีสิทธิตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันชำระจริงหรือไม่ เพียงใด คำตอบคือ มีสิทธิตามอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ชำระจริง แต่ต้องไม่เกินอัตราแลกเปลี่ยนที่โจทก์คำนวณมาท้ายฟ้อง เรื่องนี้เป็นไปตามหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ห้ามมิให้ศาลพิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้อง (ฎีกาที่ 1522/2544)เป็นต้น