การระบุในหนังสือเลิกจ้างให้ลูกจ้างมารับค่าจ้างค้างจ่ายภายใน 3 วัน นับแต่วันเลิกจ้าง มีผลทางกฎหมายอย่างไร ?
การระบุให้ลูกจ้างมารับเงินค่าจ้างค้างจ่ายภายใน 3 วัน นับแต่วันเลิกจ้างนั้น หากนายจ้างเจอลูกจ้างที่ดียินยอมปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้างจนวินาทีสุดท้ายรีบมารับค่าจ้างค้างจ่ายภายในเวลาที่ระบุไว้ในหนังสือเลิกจ้าง ก็ถือว่านายจ้างโชคดี การระบุไว้เช่นนั้นย่อมมีประโยชน์อยู่บ้างในแง่ของการประชาสัมพันธ์ แต่ถ้าในมุมของกฎหมายหากนายจ้างเชื่อว่าการระบุไว้เช่นนั้นย่อมก่อให้เกิดหน้าที่ของลูกจ้างที่ต้องปฏิบัติตามหากไม่ปฏิบัติตามลูกจ้างย่อมเสียประโยชน์แก่ตนเองอย่างช่วยอะไรไม่ได้แล้ว อยากให้นายจ้างทบทวนความคิดนี้เสียใหม่
เรื่องนี้มีสิ่งที่ต้องพิจารณาคือ การจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายภายใน 3 วันนับแต่วันเลิกจ้างถูกกำหนดขึ้นโดยกฎหมายเพื่อเป็นการคุ้มครองลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง การจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายภายใน 3 วันนับแต่วันเลิกจ้างจึงเป็นหน้าที่ของนายจ้างตามที่กฎหมายกำหนด นายจ้างย่อมไม่อาจผลักภาระนี้ให้เป็นหน้าที่ของลูกจ้างต้องเป็นฝ่ายมาติดต่อขอรับเงินค่าจ้างค้างจ่ายเสียเอง ดังนั้น หากลูกจ้างไม่มาขอรับค่าจ้างค้างจ่ายตามที่ระบุไว้ในหนังสือเลิกจ้างลูกจ้างย่อมกระทำได้โดยชอบและไม่เป็นเหตุให้นายจ้างต้องหลุดพ้นจากความรับผิดในเรื่องนี้แต่อย่างใด นายจ้างอาจต้องรับผิดในเงินเพิ่มและดอกเบี้ยอย่างน่าเห็นใจด้วยเหตุรู้เท่าไม่ถึงการณ์
อย่างไรเสียถ้าลูกจ้างไม่มารับเงินค่าจ้างค้างจ่ายก็ให้รีบโอนเงินเข้าบัญชีของลูกจ้างเสียอย่าเกี่ยงงอนกันอยู่เลย ลำพังแค่เรื่องเงินเพิ่มและดอกเบี้ยก็เป็นภาระแก่นายจ้างมากอยู่แล้ว หากขืนเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาเดี๋ยวนายจ้างอาจเจอข้อโต้แย้งจากลูกจ้างว่า ตนเองถูกเลิกจ้างแล้วนายจ้างไม่สามารถจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย ณ สถานที่ทำงานของลูกจ้างซึ่งก็คือสถานประกอบการของนายจ้างได้อีกต่อไป จึงไม่ยอมมารับค่าจ้างค้างจ่ายที่สถานประกอบการของนายจ้างและยังเกี่ยงให้นายจ้างต้องไปชำระหนี้ยังภูมิลำเนาของลูกจ้างซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามความในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อีกต่างหาก เจออย่างนี้นายจ้างคงเหนื่อยน่าดู ถ้าเจอเข้าจริงๆไม่ต้องเสียเวลาหาคำตอบว่าสถานที่จ่ายค่าจ้างควรเป็นที่ใดตามกฎหมาย ถ้าไม่โอนเงินเข้าบัญชีลูกจ้างก็ควรลองใช้บริการของอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายด้วยการวางเงินค่าจ้างค้างจ่ายให้ลูกจ้างมารับไปน่าจะได้ดีกว่าเปิดกฎหมายต่อสู้กัน