ตอนที่ 1
ข้อเรียกร้องที่มิได้เกิดจากกฎหมายแรงงานสัมพันธ์
(มีเรื่องเศร้าจะเล่าให้ฟัง) บริษัทแห่งหนึ่งประกาศจ่ายโบนัสให้พนักงานจำนวนต่ำกว่าทุกปีที่ผ่านมา (กำไรลดลง) เป็นเหตุให้พนักงานไม่พอใจพากันหยุดงานประท้วง (ความคาดหวังไม่ได้ลดลง) ในขณะเดียวกันก็ได้แต่งตั้งตัวแทนเข้าเจรจากับนายจ้าง ทั้งสองฝ่ายได้แต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายแรงงานสัมพันธ์เข้าร่วมเจรจาด้วย ในขณะที่ตัวแทนพนักงานกำลังเจรจาอยู่กับนายจ้างนั้น พนักงานที่ชุมนุมอยู่เริ่มทำลายทรัพย์สินของนายจ้าง (เริ่มเมาแล้ว) แต่การเจรจายังคงดำเนินต่อไปจนได้ข้อยุติว่า บริษัทตกลงจ่ายโบนัสเพิ่มให้พนักงานตามที่ตกลงกัน โดยตัวแทนพนักงานและนายจ้างได้ชี้แจงให้พนักงานที่ร่วมชุมนุมทราบและแจ้งว่า จะทำข้อตกลงกันเป็นการต่อไป (เรื่องน่าจะจบแล้วนะ) แต่ผลของการเจรจาไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น (เรื่องไม่ยอมจบ) พนักงานยังคงทำลายทรัพย์สินของนายจ้างเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงจนถึงขั้นวิกฤติเป็นเหตุให้ทรัพย์สินนายจ้างเสียหายจำนวนมาก (นี่แหละเรื่องเศร้า) นายจ้างต้องประกาศปิดงานเป็นการชั่วคราว และประกาศยกเลิกผลการเจรจาที่เคยตกลงกับผู้แทนพนักงานโดยอ้างเหตุว่า ตัวแทนพนักงานไม่ได้ยื่นข้อเรียกร้องตามกฎหมายและไม่มีเจตนาบริสุทธิ์ที่จะยุติปัญหาทั้งที่บริษัทได้ยอมแล้วแต่กลับเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงทำให้บริษัทได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง (น่าเห็นใจนายจ้างนะ)
เรื่องนี้มีประเด็นที่น่าสนใจ (ต้องเขียน ต้องเขียน) เกี่ยวกับข้ออ้างของบริษัทในการยกเลิกผลการเจรจาการจ่ายโบนัสเพิ่มที่ได้ตกลงไว้กับตัวแทนพนักงานนั้น ในเชิงกฎหมายแล้วเป็นคำตอบที่รับฟังได้เพียงใด ? (ตรงนี้แหละที่เป็นบทบาทของที่ปรึกษากฎหมาย)
ข้ออ้างที่ว่า ตัวแทนพนักงานไม่ได้ยื่นข้อเรียกร้องตามกฎหมายนั้น (กฎหมายอะไร) ก็กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ไง แล้วจริงไหม (ก็จริงอยู่) แล้วข้อเรียกร้องให้บริษัทจ่ายโบนัสเพิ่มนั้นถ้ามิใช่ข้อเรียกร้องที่ยื่นตามกฎหมาย (แรงงานสัมพันธ์) แล้ว ข้อเรียกร้องดังกล่าวมีกฎหมายใดรองรับหรือไม่ (อยากรู้) คำตอบก็คือ มี ข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นคำเสนอตามความในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยนิติกรรมสัญญาทั่วไปนั้นเอง แล้วต่างกันกับข้อเรียกร้องที่ยื่นตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์อย่างไร (อยากรู้อีก) ข้อต่างก็คือ คำเสนอตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ก็ไอ้ข้อเรียกร้องขอเพิ่มโบนัสนั้นแหละ) การเจรจาหาข้อยุติต้องเป็นไปโดยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย (บังคับไม่ได้) แต่ข้อเรียกร้องตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายบังคับให้ต้องเจรจาหาข้อยุติต่อกันไม่สมัครใจก็ต้องเจรจา (บังคับได้) และข้อยุติที่ได้จากการเจรจาข้อเรียกร้องตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งย่อมมีสิทธิฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญาหรือบอกเลิกสัญญาเรียกค่าเสียหายได้ ไม่มีโทษอาญาบังคับไว้ (เสียเงินอย่างเดียว)แต่ข้อยุติที่ได้จากการเจรจาข้อเรียกร้องตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์นั้น หากผิดสัญญามีโทษอาญากำกับอยู่ (นอกจากจะเสียเงินแล้ว จะติดคุกด้วย) เห็นความแตกต่างกันแล้วใช่ไหม (ใช่) ถ้าเช่นนั้นเข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าข้ออ้างของบริษัทที่ยกเลิกข้อตกลงด้วยเหตุนี้ไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย (ยังไม่เข้าใจ) เอ้า....งั้นอธิบายต่อ.... แม้ข้อเรียกร้องของตัวแทนพนักงานที่ให้บริษัทจ่ายโบนัสเพิ่มนั้นจะมิใช่ข้อเรียกร้องตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ก็ตาม ก็มีผลเพียงแต่ไม่สามารถบังคับให้นายจ้างต้องเจรจาด้วยได้เท่านั้น แต่ก็ไม่มีกฎหมายใดห้ามมิให้นายจ้างกับลูกจ้างเจรจาหาข้อยุติต่อกัน ดังนั้น การที่ทั้งสองฝ่ายเจรจาหาข้อยุติในเรื่องนี้ จึงเป็นสิ่งที่ทำได้หากสมัครใจต่อกัน ความสมัครใจย่อมส่งผลให้การเจรจาเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย (กฎหมายอะไรวะ) ก็กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไง เมื่อการเจรจาชอบด้วยกฎหมายข้อยุติที่ได้จากการเจรจาย่อมชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน (เอ้า...แล้วจะยกเลิกข้อตกลงได้อย่างไร อย่าบอกนะว่ายกเลิกไม่ได้) ไม่ต้องห่วงน่า หากจะยกเลิกข้อตกลงก็ลองหาคำตอบในเชิงกฎหมายดูสักหน่อยสิ...ว่ามีทางใดหรือไม่ (ไม่ต้องห่วง มีทางแน่) การแปลความกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อหาทางออกให้กับข้อตกลงเรื่องนี้ง่ายกว่าการแปลความรัฐธรรมนูญเพื่อหาทางออกให้กับรัฐบาลตั้งเยอะนะครับ (เนื้อที่หมด เอาไว้จะเขียนให้อ่านใหม่ )
4 เมษายน 2549