ในคดีที่ศาลแรงงานพิพากษาให้นายจ้างชำระค่าจ้าง ค่าล่วงเวลาพร้อมดอกเบี้ยให้ลูกจ้างและยังพิพากษาให้ชำระเงินเพิ่มเนื่องจากเห็นว่า นายจ้างจงใจไม่ชำระโดยปราศจากเหตุอันสมควรอีกด้วย กรณีเช่นนี้ เมื่อนายจ้างอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลฎีกาในประเด็นเงินเพิ่มเพียงประเด็นเดียว โดยยอมชำระเงินตามรายการอื่นๆทั้งหมด รวมทั้งชำระเงินเพิ่มด้วย ด้วยเห็นว่า เงินเพิ่มนั้นมีจำนวนสูงมาก หากจะรอจนกว่าศาลฎีกามีคำวินิจฉัยโดยยังไม่ยอมชำระก็จะใช้เวลานานนับปี ระหว่างที่รอนี้เงินเพิ่มก็จะเดินไม่หยุด หากต้องแพ้คดีในชั้นฎีกาอีก ก็คงต้องจ่ายเงินเพิ่มจำนวนมหาศาล นายจ้างจึงไม่ต้องการเสี่ยงที่จะจ่ายเงินจำนวนมากเช่นนี้ จึงต้องการจ่ายเงินเพิ่มให้ลูกจ้างตามคำพิพากษาของศาลไปเสียก่อน หากต่อมาศาลฎีกาพิพากษาแก้ให้นายจ้างชนะคดีในประเด็นเงินเพิ่ม นายจ้างค่อยมาฟ้องลูกจ้างเรียกเงินเพิ่มที่ชำระไปแล้วคืนภายหลัง กรณีเช่นนี้นายจ้างทำได้หรือไม่ ?
การฟ้องคดีต่อศาลนั้นไม่ว่าจะเป็นคดีใดก็ตาม การฟ้องต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่กำหนดหลักเกณฑ์การฟ้องคดีไว้ โดยกฎหมายกำหนดไว้ว่า การนำคดีขึ้นสู่ศาลนั้นต้องมีเหตุโต้แย้งสิทธิของตนเสียก่อน เมื่อมีเหตุโต้แย้งสิทธิแล้วจึงจะนำคดีมาสู่ศาลได้ เรามาดูกันซิว่า หากต้องฟ้องเรียกเงินเพิ่มคืน นายจ้างจะบรรยายฟ้องอย่างไร ?
นายจ้างต้องบรรยายฟ้องว่า บัดนี้ ศาลฎีกาได้พิพากษาแล้วว่า โจทก์ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มให้จำเลย (ลูกจ้าง) ดังนั้น เงินเพิ่มที่โจทก์จ่ายให้จำเลยไปตามคำพิพากษาของศาลแรงงานนั้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิได้รับ จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินเพิ่มแก่โจทก์ คำถามที่ต้องหาคำตอบในเรื่องนี้ก็คือ ฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ?
เมื่อถามย้อนกลับไปว่า ที่นายจ้างจ่ายเงินเพิ่มให้ลูกจ้างนั้น นายจ้างจ่ายเพราะเหตุใด คำตอบที่ได้ก็คือ จ่ายเพราะศาลแรงงานพิพากษาให้จ่าย เมื่อถามต่อว่า ทำไมนายจ้างต้องจ่าย คำตอบที่ได้ก็คือ กฎหมายบอกว่า คำพิพากษาศาลแรงงานมีผลผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษา นั้นก็หมายรวมถึงนายจ้างด้วย นายจ้างจึงต้องจ่าย เมื่อถามต่อว่า ผูกพันตั้งแต่เมื่อใด กฎหมายบอกว่า ผูกพันตั้งแต่วันที่ได้พิพากษา แล้วถามว่า ผูกพันจนถึงเมื่อใด กฎหมายบอกว่า ผูกพันจนถึงวันที่คำพิพากษานั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสียถ้าหากมี เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่นายจ้างชำระเงินเพิ่มให้ลูกจ้างตามคำพิพากษาของศาลแรงงานก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง ย่อมเป็นการชำระหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมาย ผลการชำระหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมายส่งผลให้หนี้ระงับ เมื่อหนี้ระงับเสียแล้ว แม้ต่อมาศาลฎีกาจะพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลแรงงาน โดยให้นายจ้างไม่ต้องชำระเงินเพิ่มให้ลูกจ้าง ก็ไม่ส่งผลให้การชำระหนี้เงินเพิ่มที่ชอบด้วยกฎหมายและระงับไปแล้วต้องเสียไปแต่อย่างใดไม่ การที่นายจ้างนำหนี้ที่ชำระไปโดยชอบด้วยกฎหมายและระงับไปแล้วมาเป็นเหตุฟ้องคดี จึงถือได้ว่า เป็นกรณีที่นายจ้างไม่มีเหตุโต้แย้งสิทธิ นายจ้างจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
กล่าวโดยสรุป นายจ้างไม่อาจฟ้องเรียกเงินเพิ่มที่ชำระไปแล้วคืนได้
สมบัติ ลีกัล 8 มกราคม 2550