ตอนที่ 1. กรอบอำนาจของผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน
เมื่อลูกจ้างหรือนายจ้างแจ้งข้อเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อกันตามบทบัญญัติของกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ฯ และข้อเรียกร้องนั้นผ่านการไกล่เกลี่ยจากพนักงานประนอมข้อพิพาทแล้วตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่คู่กรณีก็ยังไม่อาจตกลงกันได้ กรณีเช่นนี้ กฎหมายกำหนดให้คู่กรณีอาจตกลงกันตั้งผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานได้ตามความสมัครใจ ผลของการชี้ขาดเป็นประการใด คู่กรณีต้องปฏิบัติตาม โดยคำชี้ขาดมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ได้ชี้ขาด
กรณีจึงมีคำถามว่า ผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานมีอำนาจในการชี้ขาดเพียงใด ?
เราลองมาค้นหาคำตอบเรื่องนี้กัน มาดูกันสักหน่อยว่า กฎหมายกำหนดกติกาไว้ให้ผู้ชี้ขาดต้องปฏิบัติอย่างไร ? การทำคำชี้ขาดนั้น กฎหมายกำหนดไว้ต้องมีข้อความอย่างน้อย คือ 1. วันเดือนปีที่ทำคำชี้ขาด 2. ประเด็นแห่งข้อพิพาทแรงงาน 3. ข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความ 4. เหตุผลแห่งคำชี้ขาด 5. คำชี้ขาดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายปฏิบัติ หรืองดเว้นปฏิบัติ กฎหมายกำหนดไว้เพียงกว้างๆเท่านี้ ดูจะเป็นการยากสักหน่อยที่จะชี้ว่า ผู้ชี้ขาดมีอำนาจเพียงใด ? แต่เมื่อพิจารณาโดยละเอียดจะพบว่า ข้อที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น มีข้อที่น่าสนใจ 2 ข้อ คือ ข้อ 2. และ 4. นั้นก็คือ ประเด็นแห่งข้อพิพาทแรงงาน และ เหตุผลแห่งคำชี้ขาด ทั้งสองข้อนี้แหละที่เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นกรอบการใช้อำนาจของผู้ชี้ขาดว่ามีเพียงใด ? นั้นก็คือ ผู้ชี้ขาดต้องชี้ตามประเด็นแห่งข้อพิพาทแรงงานโดยมีเหตุผลประกอบนั้นเอง
แล้วประเด็นแห่งข้อพิพาทแรงงาน คือ อะไร ?
ประเด็นแห่งข้อพิพาทแรงงาน หมายถึง ข้อโต้เถียงกันระหว่างคู่กรณี ในส่วนที่เกี่ยวกับการเจรจาข้อเรียกร้อง ย่อมหมายถึง ข้ออ้างของแต่ละฝ่ายที่เห็นว่า ข้อเรียกร้องข้อนั้นๆควรยุติตามความเห็นของฝ่ายตน ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างเห็นไม่ตรงกัน ข้อที่เห็นไม่ตรงกันนี้แหละ คือ ที่มาของประเด็นแห่งข้อพิพาทแรงงานที่ผู้ชี้ขาดต้องกำหนด ประเด็นแห่งข้อพิพาทแรงงานจึงเป็นสาระสำคัญที่ผู้ชี้ขาดต้องกำหนดให้ถูกต้องตรงต่อข้อเท็จจริงที่คู่กรณีโต้เถียงกัน หากผู้ชี้ขาดกำหนดประเด็นไม่ถูกต้อง การวินิจฉัยตามประเด็นที่ไม่ถูกต้องย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนคู่กรณีโต้เถียงกันเรื่องใด ควรกำหนดประเด็นแห่งข้อพิพาทแรงงานอย่างไรนั้น ย่อมแตกต่างกันในข้อเท็จจริงแต่ละกรณีไป ผู้ชี้ขาดจึงต้องใช้ทักษะและความชำนาญในการกำหนดประเด็นพิพาทและเมื่อกำหนดประเด็นแห่งข้อพิพาทแรงงานโดยถูกต้องแล้วในส่วนการวินิจฉัยนั้น ผู้ชี้ขาดก็ต้องมีเหตุผลประกอบ หากคำชี้ขาดไม่มีเหตุผลประกอบหรือมีเหตุผลที่ไม่เพียงพอ ย่อมเป็นคำชี้ขาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน ดังนั้น ประเด็นแห่งข้อพิพาทแรงงานและเหตุผลแห่งคำชี้ขาดจึงเป็นกรอบการใช้อำนาจของผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน ทั้งนี้ เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้นั้นเอง
เมื่อทราบแล้วว่า ผู้ชี้ขาดมีกรอบอำนาจในการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานเพียงใดแล้ว ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะวินิจฉัยความถูกต้องในการทำหน้าที่ของผู้ชี้ขาดอยู่ดี เนื่องจากอำนาจที่กฎหมายให้ไว้ยังคงเป็นเพียงภาพกว้างๆเท่านั้น ในการพิจารณาว่า ผู้ชี้ขาดใช้อำนาจถูกต้องตามกรอบหรือไม่ ย่อมต้องพิจารณาข้อเท็จจริงแต่ละกรณีไป
การพิจารณาข้อเท็จจริงแต่ละกรณีไปนั้น จะอาศัยหลักเกณฑ์ใดในการวินิจฉัยประเด็นแห่งข้อพิพาทแรงงาน กรณีอย่างนี้ จึงต้องติดตามตอนที่ 2. ต่อไป
.......................................สมบัติ ลีกัล 6 ก.พ.50