เมื่อมีนายจ้างก็ย่อมต้องมีลูกจ้าง มีลูกจ้างก็ต้องมีนายจ้าง ทั้งนายจ้างและลูกจ้างจึงเป็นของคู่กัน (เหมือนน้ำคู่ปลา ฟ้าคู่นก อะไรทำนองนั้นนั่นแหละ) โดยหลักการแล้ว ต้องมีนายจ้างเกิดขึ้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมีลูกจ้างตามมา (ปัญหายุ่งๆก็ไม่เกิด) แต่บทความเรื่องนี้ไม่ใช่อย่างนั้น หากแต่เรื่องนี้มีลูกจ้างเกิดขึ้นก่อน แล้วค่อยมีนายจ้างตามมา (ปัญหายุ่งๆจึงเกิด)
เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้ ถ้านายจ้างเป็นนิติบุคคล ขอยกตัวอย่าง บริษัทจำกัด ก็แล้วกัน ก่อนที่บริษัทจะได้รับอนุญาตให้จัดตั้งเป็นนิติบุคคล มีสิทธิมีเสียงที่จะดำเนินการใดๆในนามตนเองได้โดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ธุรกิจของบริษัทอาจดำเนินไปพรางก่อนได้ตามความจำเป็น ดังนั้น จึงมีบริษัทจำนวนมากที่ยังก่อตั้งไม่แล้วเสร็จ แต่ได้จ้างลูกจ้างไว้ทำงานให้บริษัทไปก่อนหน้านี้แล้ว ในระหว่างนี้ผู้เริ่มก่อการบริษัทก็จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างไปพรางก่อน รอจนกว่าบริษัทจะได้ประชุมจัดตั้งแล้วเสร็จ บริษัทจึงรับหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างต่อไป
กรณีอย่างนี้ อายุงานของลูกจ้างจะนับตั้งแต่วันที่ลูกจ้างเริ่มทำงานหรือนับแต่วันที่บริษัทเริ่มเป็นนิติบุคคล ?
อายุงานของลูกจ้างนั้น เกิดจากกฎหมายแพ่ง ว่าด้วย สัญญา (แต่หลักเกณฑ์การนับอายุงานอยู่ในกฎหมายแรงงาน) โดยหลักของสัญญาแล้ว อายุงานของลูกจ้างย่อมเดินตามระยะเวลาของสัญญา สัญญาจ้างเริ่มเมื่อใด อายุงานของลูกจ้างก็เริ่มเมื่อนั้น (แค่นี้ ก็ได้คำตอบแล้ว) โดยไม่ต้องพิจารณาว่า นายจ้างจะมีฐานะเป็นนิติบุคคลเมื่อใด (เป็นเมื่อไหร่ก็ช่าง ไม่เกี่ยวกัน) การที่นายจ้างมีฐานะเป็นนิติบุคคลภายหลังการจ้างงานลูกจ้างก็หาได้มีผลต่อการนับอายุงานของลูกจ้างไม่ (เพราะอะไรหรือ) เหตุผลเป็นอย่างนี้ แม้เมื่อเริ่มจ้างงานผู้จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างจะเป็นผู้เริ่มก่อการมิใช่บริษัทก็ตาม แต่สัญญาที่ผู้เริ่มก่อการได้ทำไว้กับลูกจ้างและค่าจ้างที่ผู้เริ่มก่อการได้จ่ายให้กับลูกจ้างก็เป็นกิจการหนึ่งที่กฎหมายแพ่งกำหนดให้ที่ประชุมในการตั้งบริษัทจะต้องพิจารณาเพื่อให้สัตยาบัน (ดูในรายงานการประชุมตั้งบริษัทซิ จะมีบอกไว้) ดังนั้น หากที่ประชุมจัดตั้งบริษัทให้สัตยาบันการจ้างงานครั้งนี้ก็ถือได้ว่า ลูกจ้างนั้นเป็นลูกจ้างบริษัทมาแต่เริ่มแรก โดยการจ้างงานของผู้เริ่มก่อการกระทำไปในฐานะตัวแทน ส่วนบริษัทอยู่ในฐานะตัวการ ตัวการจึงชอบที่จะ (กระโดด) รับเอาประโยชน์ที่ตัวแทนกระทำไว้เพื่อตนได้ เรื่องนี้ ไม่ใช่การเปลี่ยนตัวนายจ้างนะ (จะบอกให้) แต่ถ้าดูรายงานการประชุมแล้วไม่มีบอกไว้ (ลืมเอาเข้าที่ประชุม) ก็ไม่ต้องตกใจ ตราบใดที่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ภายหลังจากนายจ้างมีฐานะเป็นนิติบุคคลแล้ว นายจ้างได้จ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างต่อไป และรับเอาการงานของลูกจ้างเป็นประโยชน์แก่ตน ก็ถือได้ว่า นิติบุคคลนั้นให้สัตยาบันการจ้างงานของลูกจ้างแล้วเช่นกัน (โดยปริยาย) ก็เป็นเรื่อง ตัวการรับเอาประโยชน์ที่ตัวแทนทำไว้ (เหมือนเดิม) นิติบุคคลนั้นจึงเป็นนายจ้างมาตั้งแต่ตัวเองยังตั้งไข่อยู่เลย
...................................................สมบัติ ลีกัล 9 เมษายน 2550