ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 102 ซึ่งบัญญัติว่า ลูกจ้างซึ่งเป็นกรรมการสหภาพแรงงานมีสิทธิลาเอไปดำเนินกิจการสหภาพแรงงานในฐานะผู้แทนลูกจ้างในการเจรจา การไกล่เกลี่ย และการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานและมีสิทธิลาเพื่อไปร่วมประชุมตามที่ราชการกำหนดได้ ทั้งนี้ ให้ลูกจ้างดังกล่าวแจ้งให้นายจ้างทราบล่วงหน้าถึงเหตุที่ลาโดยชัดแจ้ง พร้อมทั้งแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ถ้ามี และให้ถือว่าวันลาของลูกจ้างนั้นเป็นวันทำงาน
หลักเกณฑ์สำคัญ
- ผู้มีสิทธิลาต้องเป็นลุกจ้างซึ่งเป็นกรรมการสหภาพแรงงาน
- ต้องลาเพื่อไปดำเนินการสหภาพแรงงาน
- ต้องเพื่อทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
3.1 ในฐานะผู้แทนลูกจ้างในการเจรจา การไกล่เกลี่ยและการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน
3.2 ไปร่วมประชุมตามที่ทางราชการกำหนด
- ลูกจ้างผู้ประสงค์จะลา ต้องแจ้งให้นายจ้างทราบล่วงหน้าพร้อมทั้งระบุเหตุที่ลา โดยชัดแจ้งพร้อมแสดงหลักฐาน
- นายจ้างต้องอนุญาตแล้วจึงลาได้
- ให้ถือว่าวันลาดังกล่าวเป็นวันทำงาน
ข้อวิเคราะห์
- คำว่า ลาเพื่อไปดำเนินการสหภาพแรงงานนั้น กฎหมายมิได้ให้คำนิยามไว้ จึงมีความเห็นเป็น 2 ฝ่าย
ฝ่ายแรก เห็นว่าลูกจ้างซึ่งเป็นกรรมการสหภาพแรงงานย่อมมีสิทธิลาไปเพื่อดำเนินกิจการของสหภาพแรง
งานใดก็ได้
ฝ่ายที่สอง เห็นว่าลูกจ้างซึ่งเป็นกรรมการสหภาพแรงงานมีสิทธิลาไปดำเนินกิจการของสหภาพแรงงานที่
ตนเป็นกรรมการอยู่เท่านั้น จะไปดำเนินกิจการของสหภาพแรงงานอื่นไม่ได้
คดีนี้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยตามความเห็นของฝ่ายที่สองว่า หมายถึง สหภาพแรงงานที่ตนเป็นกรรมการอยู่
เท่านั้น
- คำว่า ไปร่วมประชุมตามที่ราชการกำหนดนั้น กฎหมายก็มิได้ให้นิยามไว้ว่า ต้องเป็นการประชุมในเรื่องใด
แต่ต้องเป็นการประชุมที่ทางราชการกำหนดเท่านั้น
ราชการในที่นี้ ก็น่าจะหมายถึงราชการของกระทรวงแรงงานฯ เฉพาะที่เกี่ยวกับด้านแรงงานเท่านั้น คงไม่
หมายถึงกิจการของกรมประชาสงเคราะห์ เป็นต้น
เรื่องทางราชการกำหนด กฎหมายมิได้กำหนดว่าเป็นเรื่องอะไร ก็ควรแปลว่าเป็นเรื่องแรงงานและเป็นเรื่องที่
เกี่ยวข้องกับสหภาพแรงงานที่ผู้นั้นเป็นกรรมการอยู่เท่านั้น ไม่ควรแปลกว้างขวางว่าเป็นเรื่องของสหภาพแรง
งานใดก็ได้ และกฎหมายใช้คำว่าไปร่วมประชุม น่าจะหมายถึงการไปประชุมในเรื่องต่าง ๆ ที่เป็นงานราชการที่เกี่ยวข้องกับสหภาพของผู้นั้นเป็นกรรมการอยู่มิใช่ราชการของกระทรวงแรงงานฯ ทุกเรื่อง เพราะลูกจ้างของเอกชนนั้นไม่ใช่ข้าราชการที่จะต้องทำงานให้ราชการ แต่ลุกจ้างนั้นได้รับค่าจ้างจากนายจ้าง จึงต้องมีหน้าที่ทำงานให้นายจ้าง ผู้เขียนหมายเหตุ เคยพิจารณาคดีเกี่ยวกับการลาไปเพื่อกิจการของสหภาพหลายคดี มีข้อสังเกตว่า ทางราชการจะมีหนังสือเชิญลูกจ้างที่เป็นกรรมการสหภาพแรงงานไปประชุมเกือบทุกเรื่อง ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสหภาพแรงงานเลย และเชิญมากเกินไป มีบางคดีทางแรงงานจังหวัด (ปัจจุบันคือ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด) ออกหนังสือเชิญลูกจ้างไปประชุมรวมแล้วปีละ 100 กว่าวันทำงาน ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เป็นเจ้าพนักงานรักษากฎหมายแต่ถูกผู้อื่นยืมมือไปอ้างเพื่อไม่ต้องทำงาน ยิ่งในคดีนี้พนักงานแรงงานไปออกหนังสือเชิญผู้คัดค้านไปช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของลูกจ้างในบริษัทอื่น ซึ่งมิใช่เป็นการเชิญไปประชุมตามที่ทางราชการกำหนด ก็ยังออกหนังสือไปให้ มีนายจ้างหลายรายปรารภกับผู้เขียน หมายเหตุว่า เขาอาจต้องฟ้องเจ้าพนักงานแรงงานเป็นคดีตัวอย่างว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ผู้เขียนได้ปรามไว้ว่าเรื่องแรงงานนั้นไม่น่าจะรุนแรงถึงขนาดนั้น แต่ก็ฝากเป็นข้อพึงสังวรแก่เจ้าพนักงานแรงงานทั้งหลายว่าก่อนจะเซ็นอะไรขอให้พิเคราะห์ถึงข้อกฎหมายและความเหมาะสมและสมควรด้วย เพราะหนังสือเชิญของท่านสร้างความไม่เป็นธรรมแก่นายจ้าง และเมื่อนายจ้างทนไม่ได้ ตัวท่านจะเดือดร้อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 823/2539 ที่เขียนหมายเหตุนี้ได้วินิจฉัยวางหลักเกณฑ์ไว้ชัดเจน ดังนี้
- การลาไปเพื่อกิจการสหภาพนั้น ต้องเป็นกิจการของสหภาพที่ตนเองเป็นกรรมการเท่านั้น
- ลูกจ้างที่เป็นกรรมการสหภาพแรงงานนั้น ขอให้คิดด้วยว่าท่านยังรับค่าจ้างจากนายจ้าง จึงมีหน้าที่ต้อง
ทำงานให้นายจ้าง การจะไปช่วยราชการก็ต้องเป็นราชการที่เกี่ยวข้องกับสหภาพที่ท่านเป็นกรรมการอยู่ ท่านไม่ควรไปช่วยลูกจ้างของนายจ้างคนอื่นในขณะที่ท่านรับเงินเดือนจากนายจ้าง มิฉะนั้นอาจถูกเลิกจ้างเหมือนคดีนี้
ข้อสังเกต
- การลาเพื่อกิจการสหภาพนั้น ต้องลาก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงหยุดได้ มิใช่หยุดก่อนแล้วจึงลา
ย้อนหลัง หากโชคดีที่นายจ้างอนุญาตก็รอดตัว หากโชคร้ายนายจ้างไม่อนุญาตก็ถือว่าละทิ้งหน้าที่ เมื่อครบ 3 วันทำงานขึ้นไปโดยไม่มีเหตุอันสมควรก็ถูกเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
- การที่มีข้อตกลงกับนายจ้างไว้ว่าลูกจ้างที่เป็นกรรมการสหภาพแรงงานมีสิทธิลาเพื่อกิจการสหภาพได้ปีละ
ไม่เกินกี่วัน เช่นไม่เกิน 90 วัน ไม่เกิน 60 วัน เป็นต้น ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิที่จะลาเท่านั้น และจะลาได้ก็ต้องเข้าหลักเกณฑ์ของกฎหมายกำหนด ทำนองเดียวกับการลาป่วยซึ่งกฎหมายกำหนดว่าลาได้เท่าที่ป่วยจริง แต่มีสิทธิได้ค่าจ้างปีละไม่เกิน 30 วันทำงาน หมายความว่า ลูกจ้างต้องป่วยจริง จึงมีสิทธิลา มิใช่ปีหนึ่งไม่ว่าจะป่วยหรือไม่ก็มีสิทธิลาป่วยได้ 30 วัน กรณีข้อตกลงให้ลาเพื่อกิจการสหภาพก็เช่นเดียวกัน แม้จะกำหนดให้มีสิทธิ ลาได้ไม่เกินปีละ 90 วัน ก็ใช่ว่าจะใช้สิทธิได้ 90 วัน ลูกจ้างจะใช้สิทธิได้ต่อเมื่อมีความจำเป็นต้องลาเพื่อกิจการสหภาพของตนเองเท่านั้น หากไม่เข้าเกณฑ์ตามกฎหมาย ก็ไม่มีสิทธิลา หากลาไปก็ถือว่าละทิ้งหน้าที่ อาจถูกเลิกจ้างได้
ที่มา : รวมคำพิพากษาศาลฎีกา ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 (พ.ศ. 2532-2541) ,อภิญญา สุจริตตานันท์ (หน้า 62 65)
วันที่ Update 15 พฤษภาคม 2550