เงินได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ลูกจ้างได้รับเนื่องจากการเกษียณอายุนั้น ประมวลรัษฎากรกำหนดให้ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยมีหลักเกณฑ์ คือ ลูกจ้างต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี บริบูรณ์ เข้าเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือ เข้าเป็นสมาชิกในระหว่างวันที่ 13 กันยายน 2537 ถึง วันที่ 2 ธันวาคม 2543 ซึ่งมีระยะเวลาทำงานให้แก่นายจ้างก่อนเกษียณอายุไม่น้อยกว่า 5 ปี
ปัญหามีอยู่ว่า การเกษียณอายุก่อนกำหนดนั้น จะนำหลักการตามประมวลรัษฎากรที่กำหนดกรณีเกษียณอายุไว้มาใช้ เพื่อการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้จากเงินที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้หรือไม่ ?
ปัญหาเรื่องนี้เถียงกันถึงชั้นศาลฎีกา โดยศาลฎีกาได้นำคำนิยามคำว่า เกษียณอายุจากพจนานุกรมมาประกอบความเห็น โดยศาลฎีกา เห็นว่า การเกษียณอายุ พจนานุกรมให้ความหมายเพียงว่า การที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานเนื่องจากสูงอายุตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเท่านั้น ดังนั้น เมื่อการเกษียณอายุก่อนกำหนดตามที่นายจ้าง-ลูกจ้างตกลงกัน มีข้อเท็จจริงว่า ลูกจ้างเข้าทำงานกับนายจ้างเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2522 พ้นจากการเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2540 ขณะนั้นลูกจ้างมีอายุตัว 56 ปี มีอายุงาน 18 ปีเศษ เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน การเกษียณอายุก่อนกำหนดจึงถือเป็นการเกษียณอายุเช่นกัน ส่วนปัญหาที่ว่า ลูกจ้างเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2538 และพ้นจากการเป็นลูกจ้างด้วยเหตุเกษียณอายุ ทำให้เป็นสมาชิกกองทุนไม่ครบ 5 ปี ตามประกาศของอธิบดีกรมสรรพากรก็ตาม แต่การที่ลูกจ้างได้เข้าเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในช่วงระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในประกาศอธิบดีกรมสรรพากรดังกล่าว และมีระยะเวลาทำงานกับนายจ้างก่อนเกษียณอายุไม่น้อยกว่า 5 ปี ก็เป็นไปตามเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดเช่นกัน กรณีจึงเข้าหลักเกณฑ์ตามเงื่อนไขที่ไม่ต้องนำเงินได้ที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากการเกษียณอายุไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
กล่าวโดยสรุป ลูกจ้างทั้งที่เกษียณอายุก่อนและตามกำหนดในระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หากมีข้อเท็จจริงครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ของอธิบดีกรมสรรพากร ย่อมได้รับสิทธิยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
............................................. สมบัติ ลีกัล 6 สิงหาคม 2550