มีนายจ้างรายหนึ่งเลิกจ้างลูกจ้างหนึ่งคนด้วยเหตุผลว่า ลูกจ้างปฏิเสธที่จะทำงานตามคำสั่ง พอลูกจ้างคนอื่นๆรู้จึงเกิดความรู้สึกร่วมกันว่า ลูกจ้างมิได้กระทำผิด หากยอมให้นายจ้างเลิกจ้างด้วยเหตุผลเช่นนี้ พวกตนก็คงโดนเลิกจ้างกันหมดเช่นกัน อย่ากระนั้นเลย ลูกจ้างจำนวนหลายสิบคนจึงรวมตัวกันหยุดงานประท้วง นายจ้างเจรจาแล้วลูกจ้างก็ยังคงไม่ยอมกลับเข้าทำงาน แถมยังทำหนังสือยื่นต่อนายจ้างเรียกร้องให้รับลูกจ้างรายที่ถูกเลิกจ้างกลับเข้าทำงานและแถมเรื่องอื่นๆเข้าไปอีกต่างหาก เมื่อพ้นเส้นตายที่นายจ้างกำหนด ลูกจ้างไม่ยอมกลับเข้าทำงาน นายจ้างจึงเลิกจ้างลูกจ้างที่หยุดงานไปอีกนับสิบคน คราวนี้ก็เลยเกิดปัญหา
ปัญหาเกิดที่หนังสือเลิกจ้าง ?
นายจ้างเขียนหนังสือเลิกจ้างว่า เนื่องจากลูกจ้างยื่นข้อเรียกร้องโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ และร่วมกันหยุดงานไม่ชอบเป็นการละทิ้งหน้าที่ จึงเลิกจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย
หนังสือเลิกจ้างฉบับนี้พาวิบากกรรมมาสู่นายจ้าง กล่าวคือ เกิดคำถามว่า แท้จริงแล้วนายจ้างเลิกจ้างด้วยเหตุใดแน่ ระหว่าง ยื่นข้อเรียกร้องไม่ชอบ กับ ละทิ้งหน้าที่ ?
เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วจะเห็นได้ว่า การรวมตัวกันไม่ทำงานประท้วงนายจ้างนั้นก็พอจะฟังได้ว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ แม้เหตุผลของลูกจ้างจะน่าเห็นใจสักเพียงใดก็ตาม หากนายจ้างเลิกจ้างด้วยเหตุนี้ ลูกจ้างก็คงไม่มีข้อต่อสู้ คงพ่ายแพ้ทุกกรณี และทุกสถานที่ แต่ด้วยหนังสือเลิกจ้างนั้นอ้างเหตุที่ลูกจ้างยื่นข้อเรียกร้องไม่ชอบด้วยกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ประกอบด้วย จึงเปิดช่องให้ลูกจ้างหยิบยกขึ้นมาเป็นข้อต่อสู้ได้ เนื่องจาก การเลิกจ้างเนื่องจากการยื่นข้อเรียกร้องนั้น ไม่ว่าการยื่นข้อเรียกร้องจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม หากเลิกจ้างด้วยเหตุนี้ก็ถือเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม หากลูกจ้างไปร้องคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ นายจ้างอาจแพ้ได้เช่นกัน
ปัญหาของเรื่องนี้เกิดขึ้นเนื่องจากหนังสือเลิกจ้างโดยแท้ การเขียนหนังสือเลิกจ้างที่เกินกว่าความจำเป็นอาจนำความลำบากมาสู่ตนได้ กว่าจะอธิบายให้ศาลเข้าใจเจตนาการเลิกจ้างที่แท้จริงได้นายจ้างก็คงเหนื่อยพอสมควร
สมบัติ ลีกัล 5 กุมภาพันธ์ 2551
.