ในองค์กรใหญ่ๆอาจเป็นไปได้ที่ลูกจ้างไม่มาทำงานเป็นเวลานานแต่นายจ้างก็ยังไม่ได้เลิกจ้าง ปล่อยให้เนิ่นนานไปนับเดือนหรือหลายเดือนถึงจะเลิกจ้าง ครั้นพอจะเลิกจ้างจะอ้างเหตุอะไรดี ระหว่างละทิ้งหน้าที่ 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควร กับ ละทิ้งหน้าที่ 3 เดือน ติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควร ?
หากจะเลิกจ้างด้วยข้อหาละทิ้งหน้าที่ 3 เดือนติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควรก็น่าหนักแน่นกว่าและกันพลาดได้มากกว่าและน่าจะมีความหมายรวมถึงข้อหาละทิ้งหน้าที่ 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควรด้วยเช่นกัน เพราะ 3 เดือนนั้นมากกว่า 3 วัน การละทิ้งหน้าที่ 3 เดือนย่อมหมายถึงการละทิ้งหน้าที่เกิน 3 วันอย่างแน่นอน การเลิกจ้างด้วยเหตุละทิ้งหน้าที่ 3 เดือนย่อมดีกว่าเลิกจ้างเพราะเหตุละทิ้งหน้าที่ 3 วัน ว่าแล้วก็เลยเขียนหนังสือเลิกจ้างอ้างเหตุลูกจ้างละทิ้งหน้าที่ 3 เดือน
ความจริงก็น่าจะเป็นอย่างที่นายจ้างคิด แต่เรื่องนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อเกิดคดีพิพาทในศาล นายจ้างอ้างว่า ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 เดือน ลูกจ้างก็เถียงว่า เปล่า ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ ไม่ว่าจะกี่วันก็ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ ศาลเลยต้องชี้ขาดว่า ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่ 3 เดือน ตามที่นายจ้างอ้างจริงหรือเปล่า นายจ้างก็ลุ้นอยู่ในใจว่า หากศาลฟังข้อเท็จจริงว่า ลูกจ้างมิได้ละทิ้งหน้าที่ถึง 3 เดือนตามที่ตนเองอ้าง อย่างน้อยขอให้ฟังว่า ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่ 3 วันทำงานขึ้นไปเป็นใช้ได้ ตนเองก็คงชนะคดี
ในที่สุดศาลฟังข้อเท็จจริงว่า ลูกจ้างมิได้ละทิ้งหน้าที่ตามที่นายจ้างอ้าง นายจ้างเลยแพ้คดีคราวนี้ก็เลยเกิดข้อกังขา เพราะนายจ้างสงสัยว่า หากลูกจ้างมิได้ละทิ้งหน้าที่ 3 เดือนตามอ้าง ก็น่าจะมีการละทิ้งหน้าที่บ้างไม่มากก็น้อย ขอเพียงละทิ้งหน้าที่แค่ 3 วัน นายจ้างก็ชนะคดีแล้ว ทำไมศาลจึงไม่วินิจฉัย การละทิ้งหน้าที่ 3 เดือน ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวแล้วว่า เป็นการละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่ 3 วันทำงานขึ้นไปอย่างแน่นอน นายจ้างก็เลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่า ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่เป็นเวลากว่า 3 วันทำงาน
ปัญหาจึงเกิดขึ้นในชั้นฎีกาว่า อุทธรณ์ของนายจ้างชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ?
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้ออุทธรณ์ของนายจ้างนั้นเป็นเรื่องที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวกันโดยชอบในศาลแรงงานมาก่อน ศาลฎีกาเลยไม่รับวินิจฉัย เท่ากับศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อครั้งที่ต่อสู้กันในศาลแรงงานนั้น เถียงกันเพียงว่า ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่ 3 เดือนจริงหรือไม่เท่านั้น ที่ว่าลูกจ้างละทิ้งหน้าที่เกิน 3 วันไม่ได้เถียงกัน เมื่อไม่ได้เถียงกันจึงห้ามยกขึ้นมาอุทธรณ์ แม้อุทธรณ์ขึ้นมาก็ไม่รับวินิจฉัย เรื่องก็มีแค่นี้เอง
ดังนั้น ที่นายจ้างเข้าใจว่า เขียนหนังสือเลิกจ้างอ้างเหตุว่า ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่ 3 เดือนย่อมหนักแน่นกว่า ละทิ้งหน้าที่ 3 วัน อย่างไรเสีย การละทิ้งหน้าที่ 3 เดือนย่อมมีความหมายอยู่ในตัวแล้วว่า เป็นการละทิ้งหน้าที่ 3 วันด้วยนั้น แม้จะเป็นจริงตามที่นายจ้างเข้าใจ แต่ ความเข้าใจอย่างนี้ใช้ไม่ได้กับกระบวนพิจารณาคดีของศาล หากนายจ้างต้องการอ้างเรื่อง ละทิ้งหน้าที่ 3 วันเป็นประโยชน์แก่ตน นายจ้างต้องเขียนไว้ในคำฟ้องหรือคำให้การโดยชัดแจ้งด้วยเพื่อจะได้ผ่านการพิจารณาวินิจฉัยจากศาลแรงงานมาก่อน นายจ้างจึงจะมีสิทธิยกขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ได้ เรื่องนี้จึงเป็นอุทธาหรณ์ให้ผู้ที่ต้องไปศาลไม่ว่าจะเป็นโจทก์หรือจำเลยก็ตาม เมื่อจะต้องเขียนฟ้องหรือเขียนคำให้การก็อย่าลืมตรวจสอบข้ออ้างข้อเถียงของตนว่าได้เขียนไว้ครบถ้วนทุกประเด็นหรือยัง จะได้ไม่เสียสิทธิในการอุทธรณ์เหมือนเช่นคดีนี้
............................................... สมบัติ ลีกัล 7 มีนาคม 2551