กฎหมายเขาห้ามมิให้เลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุที่ลูกจ้างนั้นเกี่ยวข้องกับการยื่นข้อเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อนายจ้าง หากเลิกจ้างด้วยเหตุนี้ย่อมเป็นความผิดต่อกฎหมายอาญาและถือเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ลูกจ้างอาจร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เพื่อขอให้สั่งให้นายจ้างรับกลับเข้าทำงานหรือจ่ายค่าเสียหายได้
ในทางปฏิบัติ ลูกจ้างก็จะอ้างว่าถูกเลิกจ้างเพราะเหตุยื่นข้อเรียกร้อง โดยนำรายชื่อผู้สนันสนุนข้อเรียกร้องที่มีชื่อตนเองมาแสดงต่อคณะกรรมการฯ ส่วนนายจ้างมักอ้างว่าเลิกจ้างเพราะลูกจ้างทำผิดระเบียบข้อบังคับการทำงานกรณีร้ายแรง แล้วนำพยานมาสืบให้คณะกรรมการฯเชื่อตามที่ระบุไว้ในหนังสือเลิกจ้าง กรณีอย่างนี้ หากนายจ้างพิสูจน์ได้เพียงว่าลูกจ้างกระทำความผิดต่อระเบียบว่าด้วยวินัยแต่มิใช่กรณีร้ายแรงและไม่เคยได้รับหนังสือเตือนมาก่อน นายจ้างมักแพ้คดี
จึงมีข้อกังขาจากฝ่ายนายจ้างว่า การพิจารณาเหตุเลิกจ้างนั้น ควรดูเพียงเจตนาที่แท้จริงของนายจ้างเท่านั้นว่าเลิกจ้างด้วยสาเหตุใด หากนายจ้างมีเจตนาเลิกจ้างอันเนื่องจากการยื่นข้อเรียกร้องก็ให้นายจ้างแพ้คดีไป แต่ หากนายจ้างมิได้มีเจตนาเลิกจ้างด้วยเหตุดังกล่าว เพียงแต่นายจ้างพิสูจน์เหตุเลิกจ้างตามหนังสือเลิกจ้างไม่ได้โดยสมบูรณ์ เหตุเพียงแค่นี้ไม่ควรถือเป็นสูตรสำเร็จที่นายจ้างต้องแพ้คดี
มีคดีเรื่องหนึ่ง นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นประธานสหภาพแรงงานและเกี่ยวข้องกับการยื่นข้อเรียกร้อง ข้อเท็จจริงในคดีฟังได้ว่า นายจ้างเลิกจ้างโดยเข้าใจว่าลูกจ้างมึนเมาสุราในขณะทำงาน เพราะดื่มสุราก่อนมาทำงานเพียงไม่นาน โดยมีอาการหน้าแดงและพูดเสียงดังกว่าปกติ ด้วยข้อเท็จจริงอย่างนี้ ศาลฎีกาพิพากษาให้นายจ้างชนะคดี โดยเห็นว่า มิใช่การเลิกจ้างเนื่องจากการยื่นข้อเรียกร้อง
คดีนึ้จึงตอบข้อกังขาของนายจ้างได้ชัดเจน การเลิกจ้างเนื่องจากการยื่นข้อเรียกร้องหรือไม่ ให้ดูที่เจตนาของนายจ้างเป็นสำคัญ แม้เหตุเลิกจ้างตามที่นายจ้างอ้างจะฟังไม่ได้เสียทีเดียว แต่หากฟังได้ว่านายจ้างเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น โดยมีเหตุผลสนันสนุนตามสมควร การเลิกจ้างอย่างนี้ก็ไม่ถือเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม
............................... สมบัติ ลีกัล 3 เมษายน 2551