เทคนิคการปกครองคน 3 รูปแบบ
การปกครองบังคับบัญชาคนเป็นศิลป์มากกว่าศาสตร์ ทั้งนี้เพราะ คนมีพฤติกรรม มีแนวคิด มีวิถีชีวิต มีความเชื่อ มีภูมิปัญญาและประสบการณ์ที่ไม่เท่าเทียมกันและไม่เหมือนกัน และมีมุมมองที่แตกต่างกัน (นานาจิตตัง) ทั้งๆ ที่เกิดในตระกูลเดียวกัน หรือทำงานในที่เดียวกัน
ความแตกต่างระหว่างบุคคลนี้ เกิดมาพร้อมกับมนุษย์โดยธรรมชาติ และแม้จะเป็นเรื่องของธรรมชาติ เราก็สามารถปกครองคนให้มีประสิทธิภาพได้ หากมีเทคนิคการปกครองคนที่ดี
พุทธศาสตร์กำหนดรูปแบบการปกครองไว้ 3 รูปแบบ คือ
1. แบบอัตตาธิปไตย (Autocratic system)
ระบบอัตตนิยม หรือำนาจนิยมเป็นระบบพระเดช ซึ่งใช้สำหรับคนหัวดื้อ หัวหมอ หรือ คนที่มีความคิดเป็นมิจฉาทิฎฐิที่มองโลกในแง่ร้าย
ระบบอัตตนิยมนี้ ผู้บริหารต้องมีความเด็ดขาด แต่ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม และใช้คู่กับสติเสมอ
ระบบอัตตนิยม ผู้ใช้ต้องกล้าและมีสติสัมปชัญญะที่ดี
2. แบบโลกาธิปไตย (People – Oriented)
ระบบบริหารงานไปตามกระแส มุ่งแต่ถนอมน้ำใจคนหรือกระแสสังคม โดยไม่คำนึงว่ากระแสนั้นๆ ถูกต้องชอบธรรมหรือหลักการหรือไม่ ใช้แต่พระคุณสถานเดียว
การบริหารงานหรือปกครองคนแบบโลกาธิปไตยจะเกิดผลสำเร็จได้ ผู้บริหารต้องมีสติปัญญารอบรู้และมีวิจารณาญาณที่ดี
3. แบบธรรมาธิปไตย (Good Government)
เป็นระบบที่ยึดหลักการและเหตุผล ความถูกต้องดีงาม ใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ ตำหนิคนที่ควรตำหนิและยกย่องคนที่ควรยกย่อง บริหารจัดการโดยมุ่งทั้งงานและถนอมน้ำใจคน (work-oriented/people-oriented)
พระพุทะเจ้ายกย่องหลักธรรมาธิปไตย แต่ก็ไม่ปฏิเสธหลักอัตตาธิปไตยและโลกาธิปไตยหากแต่ต้องให้ถูกคน เวลา และสถานการณ์ คือ ต้องมีสติและปัญญากำกับตลอดเวลา
หมายเหตุ : หลักอธิปไตย 3 รูปแบบนี้ มีส่วนคล้ายคลึงกับ Managerial Grid ของ Prof Dr. Robert Blake ซึ่งโด่งดังในช่วงทศวรรษ 1980 เป็นอย่างมาก (ทฤษฎี 1.9,9.1 และ 9.9)
ศิริพงษ์ ศรีชัยรมย์รัตน์ , การบริหารจัดการธุรกิจตามแนวพุทธศาสตร์