มีคดีเรื่องหนึ่ง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ลูกจ้างกระทำการอันเป็นความผิดต่อระเบียบข้อบังคับการทำงาน แล้วพิพากษาว่า นายจ้างเลิกจ้างด้วยเหตุนี้ถือว่าเป็นธรรมแล้ว แต่ลูกจ้างไม่เห็นด้วยจึงอุทธรณ์ด้วยการโต้เถียงว่า นายจ้างมิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการลงโทษทางวินัย เช่น สอบสวนไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนด มิได้ขอขยายเวลาการสอบสวนตามระเบียบ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ศาลฎีกาจะรับพิจารณาให้ลูกจ้างหรือไม่ ?
รับพิจารณาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าพิจารณาแล้วเป็นเหตุให้ลูกจ้างชนะคดีหรือไม่ หากมีผลให้ลูกจ้างชนะคดีอย่างไรเสียศาลฏีกาก็ต้องวินิจฉัย แต่หากพิจารณาแล้ว แม้จะเห็นด้วยกับลูกจ้าง
แต่ไม่เป็นเหตุให้ลูกจ้างชนะคดีอย่างนี้ก็ไม่ต้องวินิจฉัย
ในกฏหมายวิธีพิจารณาคดีแรงงานนั้นกำหนดให้คู่ความอุทธรณ์ได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น ในคดีนี้ ลูกจ้างมีสิทธิอุทธรณ์ได้เพียงว่า การเลิกจ้างแม้จะเป็นการผิดระเบียบก็มิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร การเลิกจ้างด้วยเหตุเพียงเท่านี้ย่อมถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม หากลูกจ้างอุทธรณ์เช่นนี้ศาลฏีกาย่อมรับวินิจฉัยได้ เพราะคำวินิจฉัยของศาลฎีกาอาจส่งผลให้ลูกจ้างชนะคดีได้
แต่ลูกจ้างหาได้อุทธรณ์เช่นนั้นไม่ อาจจะเป็นเพราะเห็นว่า การอุทธรณ์ตรงๆเช่นนั้นคงมีโอกาสชนะคดีได้น้อย จึงหาข้อบกพร่องอื่นของนายจ้างมาอุทธรณ์แทน การที่ลูกจ้างอุทธรณ์อ้างว่า การสอบสวนไม่ชอบต่างๆนานานั้น แท้จริงแล้ว ลูกจ้างต้องการให้ศาลฏีกาวินิจฉัยว่า คำสั่งเลิกจ้างกระทำไม่ชอบ ต้องสอบสวนใหม่ให้ถูกต้องตามระเบียบเสียก่อน หากเห็นว่าผิดจริงค่อยเลิกจ้างใหม่ ซึ่งข้ออุทธรณ์ของลูกจ้างนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ลูกจ้างอาจอุทธรณ์ได้ แต่การสอบสวนจะชอบหรือไม่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง ในเมื่อศาลฏีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังมา นั้นก็คือ ลูกจ้างฝ่าฝืนระเบียบจนเป็นเหตุให้ถูกเลิกจ้างและถือเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม ถึงศาล
ฏีกาจะเห็นว่า การสอบสวนไม่ชอบด้วยระเบียบตามที่ลูกจ้างอ้างศาลฏีกาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ศาลขั้นต้นฟังมาได้ดังกล่าว อุทธรณ์ของลูกจ้างพิจารณาไปจึงไม่เป็นเหตุให้ลูกจ้างชนะคดีได้ จึงถือเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่เป็นสาระแก่การพิจารณา ศาลฏีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
......................................... สมบัติ ลีกัล 27 มีนาคม 2552