กฎหมายบอกว่า หากจะเลิกจ้างต้องระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกจ้างด้วย มิเช่นนั้น นายจ้างจะยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นอ้างภายหลังไม่ได้ เหตุตามมาตรา 119 ก็คือ เหตุที่เป็นข้อยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ซึ่งก็คือ ลูกจ้างกระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ฝ่าฝืนระเบียบโดยเตือนเป็นหนังสือแล้ว หรือกรณีร้ายแรงไม่ต้องเตือนเป็นหนังสือ ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายร้ายแรง ละทิ้งหน้าที่ 3 วันทำงานโดยไม่มีเหตุอันควร ได้รับโทษจำคุดตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก มีแค่นี้เท่านั้น
การบอกเลิกจ้างนั้น หากนายจ้างบอกว่า เลิกจ้างเพราะลูกจ้างลักสบู่ยาสีฟันของนายจ้างไป หากบอกอย่างนี้ก็ชัดเจนถือว่ามีข้อเท็จจริงที่ลูกจ้างเข้าใจได้ว่า ตนเองถูกเลิกจ้างด้วยเหตุใด ส่วนการลักสบู่ ยาสีฟันจะเป็นความผิดตามมาตรา 119 ข้อใดเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลย่อมรู้ได้เองไม่จำเป็นที่นายจ้างต้องสรุปให้เห็นว่าเป็นการกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง
ปัญหามีอยู่ว่า การบอกเหตุผลการเลิกจ้างนั้น จะยกแต่เฉพาะหัวข้อตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้นจะได้หรือไม่ เช่น หนังสือเลิกจ้างบอกว่า เลิกจ้างเพราะลูกจ้างกระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้างแค่นี้ โดยไม่บอกต่อว่า กระทำอะไรที่ว่าเป็นความผิดอาญาต่อนายจ้าง หากบอกเลิกจ้างเช่นนี้ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย ถ้านายจ้างบอกเลิกจ้างต่อไปอีกว่า จงใจทำให้นายจ้างเสียหายด้วยโดยที่ก็ไม่รู้อีกว่าที่ว่าจงใจนั้นทำอะไรให้เสียหายก็น่าจะชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน ถ้าเช่นนั้น นายจ้างอ้างต่อไปอีกว่า นอกจากกระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายแล้ว ยังเป็นการกระทำผิดต่อระเบียบกรณีร้ายแรงด้วย ยังจะชอบด้วยกฎหมายอีกหรือไม่ หากยังชอบด้วยกฎหมายอีก ถ้าเช่นนั้น กันเหนียว นายจ้างก็ยกหัวข้อทุกข้อของมาตรา 119 มาใส่ไว้ในหนังสือเลิกจ้างเสียเลยกันลืม เผื่อตอนสู้คดีนึกอะไรได้ค่อยนำมาปรับใช้กับหัวข้อต่างๆที่ใส่ไว้ในหนังสือเลิกจ้าง การยอมให้บอกเลิกจ้างด้วยวิธีนี้จะตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมายจริงหรือ ?
ลองช่วยกันคิดหน่อย แม้ความเห็นของท่านอาจเป็นเสียงส่วนน้อย แต่สักวันอาจเป็นที่ยอมรับก็ได้ ใครจะไปรู้
............................................... สมบัติ ลีกัล 30 เมษายน 2552