การดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีแพ่งนั้น อาจเป็นไปได้ที่ศาลจะใช้วิธีให้คู่ความรับข้อเท็จจริงต่อกัน หากศาลเห็นว่า ข้อเท็จจริงเพียงพอต่อการวินิจฉัยคดีแล้วศาลจะสั่งงดสืบพยานหรือคู่ความอาจแถลงงดสืบพยานก็ได้แล้วให้ศาลชี้ขาดคดีไปตามข้อเท็จจริงที่รับกัน ในคดีแรงงานแท้จริงก็คือคดีแพ่งนั้นเอง ดังนั้น การรับข้อเท็จจริงแล้วงดสืบพยานเช่นนี้อาจกระทำได้เช่นกัน
ในคดีแพ่งนั้น กรณีศาลงดสืบพยานโดยศาลเห็นว่า ข้อเท็จจริงเพียงพอต่อการวินิจฉัยคดีแล้วและคู่ความไม่คัดค้าน หรือกรณีคู่ความเป็นฝ่ายขอให้ศาลงดสืบพยานเสียเอง ศาลจะพิจารณาวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามหน้าที่นำสืบ กล่าวคือ หากฝ่ายโจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อน หากข้อเท็จจริงที่รับกันไม่เพียงพอหรือขาดตกบกพร่องเป็นโทษต่อฝ่ายโจทก์ โจทก์ย่อมต้องแพ้คดี
ในคดีแรงงานนั้น หากศาลงดสืบพยานด้วยเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่แถลงรับกันเพียงพอต่อการวินิจฉัยคดีแล้ว หากความปรากฏว่า ข้อเท็จจริงยังไม่สมบูรณ์เพียงพอ ศาลจะวินิจฉัยคดีโดยอาศัยหน้าที่นำสืบเหมือนอย่างคดีแพ่งไม่ได้ เนื่องจาก กฎหมายกำหนดให้ศาลในคดีแรงงานเป็นผู้ไต่สวนข้อเท็จจริงด้วยตนเอง ดังนั้น หากข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับต่อกันไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ย่อมไม่ตกเป็นโทษต่อฝ่ายใดเหมือนเช่นคดีแพ่ง
มีคดีเรื่องหนึ่ง มีประเด็นพิพาทว่า ผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างเฉื่อยงานหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันพอฟังได้ว่า มีการเฉื่อยงานทำให้ผลผลิตของนายจ้างลดลงจริง แต่ข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้เฉื่อยงานหรือร่วมในการเฉื่อยงาน เมื่อพบเหตุเช่นนี้ ศาลฎีกาจึงย้อนสำนวนกลับมาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดไปให้สมบูรณ์เสียก่อนแล้วจึงให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
............................................. สมบัติ ลีกัล 30 ตุลาคม 2552