ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างและได้รับค่าชดเชยมาแล้ว มักฟ้องคดีต่อศาลว่า ถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ขอให้ศาลสั่งให้นายจ้างรับกลับเข้าทำงาน และก็มีบ่อยครั้งที่ศาลมีคำพิพากษาให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน ครั้นเมื่อลูกจ้างได้กลับเข้าทำงานแล้ว นายจ้างทวงถามให้ลูกจ้างคืนเงินค่าชดเชย ลูกจ้างกลับเฉยเสีย นายจ้างไปต่อไม่ถูกเลย
มีคำถามว่า หากลูกจ้างต้องคืนเงินแล้วไม่คืนเช่นนี้ ลูกจ้างต้องรับผิดในดอกเบี้ยหรือไม่ หากต้องรับผิด รับผิดเพียงใด แล้วต้องรับผิดตั้งแต่เมื่อใด ?
เงินที่ลูกจ้างได้รับไปเมื่อครั้งถูกเลิกจ้างนั้น นายจ้างเป็นผู้จ่ายและเป็นการจ่ายสืบเนื่องจากการเลิกจ้าง จึงเข้าองค์ประกอบของคำว่า ค่าชดเชย ตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อเป็นค่าชดเชยเสียแล้ว หากนายจ้างผิดนัดกฎหมายกำหนดให้นายจ้างต้องรับผิดในดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี
เงินที่ลูกจ้างต้องคืนนายจ้างนี้แท้จริงก็ คือ ค่าชดเชยที่นายจ้างได้จ่ายไปนั้นเอง แต่คราวนี้กลับกัน ลูกจ้างเป็นผู้จ่ายมิใช่นายจ้างเป็นผู้จ่าย และมิใช่การจ่ายสืบเนื่องจากการเลิกจ้าง หากแต่เป็นการจ่ายสืบเนื่องมาจากการกลับเข้าทำงาน จึงไม่เข้าองค์ประกอบของคำว่า ค่าชดเชย ด้วยเหตุนี้ ย่อมไม่อาจคิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 เหมือนเช่นค่าชดเชยได้ ครั้นเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่พบว่า เงินที่ลูกจ้างต้องจ่ายนี้มีกฎหมายบัญญัติเรื่องดอกเบี้ยไว้โดยเฉพาะ เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะการคิดดอกเบี้ยย่อมคิดได้เพียงร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น และกรณีนี้กฎหมายก็มิได้กำหนดวันผิดนัดไว้เหมือนเช่นค่าชดเชย ดังนั้น ลูกจ้างจะรับผิดในดอกเบี้ยต่อเมื่อนายจ้างทวงถามเท่านั้น
หากลูกจ้างกลับเข้าทำงานแล้วนายจ้างยังไม่ทวงถามถึงเงินก้อนนี้ ลูกจ้างก็ยังไม่ต้องรับผิดในดอกเบี้ย เอาไปหมุนก่อนได้จนกว่านายจ้างจะทวงถาม ทวงเมื่อไหร่ เมื่อนั้นค่อยคุยกันเรื่องดอกเบี้ย
.................... สมบัติ ลีกัล 30 เมษายน 2553