มาตรา 17 วรรคสอง กฎหมายคุ้มครองแรงงานบอกว่า ในกรณีที่สัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลานายจ้างหรือลูกจ้างอาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบนั้น แท้จริงแล้วต้องบอกเป็นหนังสือเสมอไปหรือไม่ ?
ลองอ่านมาตรา 17 วรรคสองทวนไปทวนมาก็หลายรอบ อ่านยังไงยังไงก็แปลความได้ว่า ต้องบอกล่วงหน้าเป็นหนังสือเสมอไป ไม่มีตรงไหนที่พอจะแปลความได้ว่า การบอกเลิกจ้างตามสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างนั้น สามารถบอกเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือหรือบอกเลิกจ้างล่วงหน้าด้วยวาจาได้
แต่ในทางปฏิบัติ มีการบอกกล่าวล่วงหน้าด้วยวาจาแล้วศาลฎีกาก็บอกว่า OK อะไร คือ เหตุผล ?
หากจะแปลความมาตรา 17 วรรคสองโดยเคร่งครัดก็ต้องแปลว่า การบอกเลิกจ้างต้องบอกล่วงหน้าเป็นหนังสือบอกเลิกจ้างด้วยวาจาไม่ได้ แต่การแปลความโดยเคร่งครัดศาลฎีกาคงเห็นว่าไม่เหมาะเนื่องจาก การทำสัญญาจ้างยังไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือ แล้วไฉนเลยการบอกเลิกสัญญาจึงต้องทำเป็นหนังสือ ด้วยเหตุนี้ก็เลยแปลความโดยไม่เคร่งครัด มาดูกันซิว่า ศาลฎีกาใช้เหตุผลในการแปลความครั้งนี้ อย่างไร ?
ศาลฎีกาบอกว่า การบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงานที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างมีบัญญัติเป็นหลักทั่วไปไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 6 มาตรา 582 ซึ่งมิได้กำหนดว่าการบอกเลิกจ้างจะต้องทำเป็นหนังสือเสมอไป ส่วนที่บัญญัติไว้ในมาตรา 17 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ที่บอกว่า ในกรณีที่สัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลานายจ้างหรือลูกจ้างอาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบนั้น ก็มิได้ห้ามเด็ดขาดมิให้นายจ้างหรือลูกจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างด้วยวาจา ขอเพียงแต่บอกให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อเป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้าเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ดังนั้น การบอกเลิกจ้างจึงอาจทำเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาก็ได้
เหตุผลของศาลฎีกาอ่านพอเพลินเพลินก็แล้วกัน เพราะศาลตั้งใจแปลกฎหมายให้ยืดหยุ่นเพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและเพื่อให้เหมาะสมกับข้อเท็จจริงที่อาจมีการบอกเลิกสัญญากันด้วยวาจา จึงไม่ได้เคร่งครัดต่อตัวอักษรมากนัก
......................................................... สมบัติ ลีกัล 31 สิงหาคม 2553