มีคดีเรื่องหนึ่งนายจ้างต่อสู้คดีว่า เลิกจ้างลูกจ้างไม่มาทำงานเมื่อวันที่ 22 และ 26 มีนาคม 2547 แล้วแก้ไขข้อมูลว่ามาทำงานเป็นเหตุให้นายจ้างต้องจ่ายค่าอาหาร 2 วัน เป็นเงิน 20 บาท เป็นการทุจริต แต่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ลูกจ้างไม่มาทำงานเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2547 แต่แก้ไขข้อมูลว่ามาทำงานในวันดังกล่าว ทำให้ลูกจ้างได้รับประโยชน์เป็นเบี้ยขยันเดือนละ 300 บาท และค่าอาหารวันละ 10 บาท อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ในวันที่ 24 มีนาคม 2547 ซึ่งเป็นการทุจริตต่อหน้าที่คนละวันกัน แต่ก็เป็นการระบุเรื่องลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่เป็นเหตุผลในการเลิกจ้างไว้ในหนังสือเลิกจ้างแล้ว เพียงแต่ระบุวันที่ลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่ผิดพลาดไปซึ่งเป็นรายละเอียดเท่านั้น นายจ้างย่อมยกเหตุผลที่ลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่ขึ้นต่อสู้เพื่อไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้
หากเป็นเช่นนี้ นายจ้างย่อมชนะคดีไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยใช่หรือไม่ ?
การระบุเหตุเลิกจ้างในหนังสือเลิกจ้างนั้น เจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการให้ลูกจ้างรู้ตัวว่าถูกนายจ้างเลิกจ้างด้วยข้อเท็จจริงใด ส่วนข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุเลิกจ้างนั้นจะเป็นเช่นไรก็ไม่สำคัญ แม้นายจ้างระบุข้อกฎหมายผิดๆถูกๆก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสีย ศาลย่อมมีหน้าที่ปรับข้อเท็จจริงตามหนังสือเลิกจ้างให้ตรงตามข้อกฎหมายที่ถูกต้องเอง ดังนั้น การระบุข้อเท็จจริงในหนังสือเลิกจ้างว่า ลูกจ้างทุจริตในวันที่ 22 และ 26 มีนาคม 2547 แม้จะคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงบ้างก็ไม่เป็นไร ลูกจ้างพอเข้าใจได้ว่า ตนเองถูกเลิกจ้างด้วยสาเหตุทุจริตนั้นเอง ลำพังบอกในหนังสือเลิกจ้างเพียงว่า เลิกจ้างเพราะเหตุลูกจ้างทุจริตโดยไม่ระบุวันที่ทุจริตไม่ระบุเรื่องราวที่ทุจริตเลยศาลฎีกาก็ยังถือว่า เป็นหนังสือเลิกจ้างที่บอกเหตุเลิกจ้างโดยชอบแล้ว
ปัญหามาเกิดตอนนายจ้างต่อสู้คดี หากนายจ้างยังคงยืนยันข้อเท็จจริงโดยเขียนในคำให้การว่า ลูกจ้างทุจริตวันที่ 22 และ 26 มีนาคม 2547 โดยมิได้ยกข้อเท็จจริงการทุจริตในวันที่ 24 มีนาคม 2547 ขึ้นต่อสู้ ปัญหาจึงมีว่า การทุจริตในวันที่ 24 มีนาคม 2547 ถือเป็นข้อเท็จจริงนอกสำนวนหรือไม่ หากเป็นข้อเท็จจริงนอกสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ย่อมต้องห้ามมิให้ศาลรับฟัง หากต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังเสียแล้ว จะพิพากษาให้นายจ้างชนะคดีได้อย่างไร ?
...................................................... สมบัติ ลีกัล 30 สิงหาคม 2553