กรณีลูกจ้างร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานอ้างเหตุนายจ้างไม่จ่ายเงินตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เมื่อพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินตามคำร้องของลูกจ้าง กฎหมายกำหนดให้นายจ้างต้องปฏิบัติตามคำสั่งภายใน 15 วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่ง ในขณะเดียวกันกฎหมายก็กำหนดให้นายจ้างใช้สิทธิฟ้องเพิกถอนคำสั่งต่อศาลได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่งเช่นกัน
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อนายจ้างใช้สิทธิฟ้องเพิกถอนคำสั่งภายใน 30 วัน ไม่ว่าจะเกิน 15 วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่งหรือไม่ก็ตาม นายจ้างจะมีความผิดฐานขัดคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานซึ่งมีโทษทางอาญาหรือไม่ ?
ปัญหานี้ถกเถียงกันพักใหญ่ ในที่สุดกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานก็ได้ข้อยุติว่า จะไม่ดำเนินคดีอาญาในข้อหาขัดคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานต่อนายจ้างที่ใช้สิทธิฟ้องเพิกถอนคำสั่งภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด อย่างเพิ่งดีใจ เนื่องจาก กรมสวัสดิฯมีนโยบายจะดำเนินคดีอาญานายจ้างในข้อหาเดิมที่เป็นเหตุให้ลูกจ้างต้องมาร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานแทน ถ้านายจ้างฟ้องคดีเพิกถอนคำสั่งแล้วศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง หรือฟ้องคดีแล้วประนีประนอมยอมความกับลูกจ้าง โดยลูกจ้างยอมรับเงินช่วยเหลือจากนายจ้างบางส่วนแทนการรับเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน
ตัวอย่างเช่น ลูกจ้างร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานว่า นายจ้างเลิกจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย หากพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชย แทนที่นายจ้างจะจ่ายกลับไปฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานต่อศาลแทน กรณีอย่างนี้ หากนายจ้างชนะคดีก็แล้วไป แต่ หากนายจ้างแพ้คดีหรือประนีประนอมยอมความกับลูกจ้าง นายจ้างจะถูกพนักงานตรวจแรงงานดำเนินคดีในข้อหา เลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยเป็นการตอบแทน
ปัญหาอยู่ที่ว่า กรมสวัสดิฯนำผลคดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งมาเป็นเงื่อนไขในการดำเนินคดีอาญานายจ้างเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ ?
ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ว่า บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เจตนาจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้บุคคลต้องรับผิดทางอาญา นายจ้างจะต้องรับผิดทางอาญาหรือไม่จึงขึ้นอยู่กับเจตนาเป็นสำคัญ
จะดูอย่างไรว่า นายจ้างมีเจตนากระทำความผิดอาญาหรือไม่ ?
กรณีอย่างนี้ นักกฎหมายเขาใช้หลัก กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา มาประกอบการวินิจฉัย นั่นก็คือ ต้องพิจารณาจากการกระทำของนายจ้างในขณะกระทำการที่อ้างว่า เป็นความผิด โดยพิจารณาประกอบหลักตรรกวิทยา เพียงแค่นี้ก็พอจะทราบได้ว่า นายจ้างมีเจตนากระทำความผิดอันจะเป็นเหตุให้ต้องรับโทษทางอาญาหรือไม่
กรณีตามตัวอย่าง นายจ้างอาจเชื่อว่า ตนมีสิทธิเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้ แม้ความเชื่อของนายจ้างอาจไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามหลักกฎหมายคุ้มครองแรงงาน แต่ ตราบใดที่ความเชื่อนั้นเป็นไปโดยสุจริตและมีเหตุมีผลตามสมควร การไม่จ่ายค่าชดเชยของนายจ้างก็ขาดเจตนาในการกระทำความผิด กรณีเช่นนี้ จึงไม่เป็นความผิดอาญา
กฎหมายกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยนับแต่วันเลิกจ้าง ดังนั้น ความรับผิดของนายจ้างทั้งทางแพ่งและอาญาจึงต้องเกิดขึ้นในวันเลิกจ้างนั่นเอง ในทางแพ่ง ความรับผิดในเงินต้นและดอกเบี้ยก็นับแต่วันเลิกจ้าง ในทางอาญา ความผิดสำเร็จก็ต้องนับแต่วันเลิกจ้างเช่นกันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังวันเลิกจ้างไม่อาจนำมาเป็นเครื่องชี้วัดเจตนาได้ วันที่นายจ้างแพ้คดีเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเกิดขึ้นภายหลังวันเลิกจ้างนานนับเดือนหรือบางคดีนานนับปีด้วยซ้ำไป จึงเป็นไปไม่ได้ที่ความผิดอาญาจะสำเร็จในวันที่นายจ้างแพ้คดี
การดำเนินคดีอาญากับนายจ้างที่ฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ด้วยการนำผลของคดีที่ฟ้องเพิกถอนคำสั่งมาเป็นเงื่อนไข ตามนโยบายของกรมสวัสดิฯไม่สอดรับกับหลักความรับผิดของบุคคลในทางอาญา ที่ถูกต้องกรมสวัสดิฯควรสอบข้อเท็จจริงให้ครบถ้วน หากข้อเท็จจริงฟังได้ ณ วันเลิกจ้างว่า นายจ้างมีเจตนากระทำความผิด ก็ควรดำเนินคดีอาญาต่อไป แต่หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายจ้างไม่มีเจตนากระทำความผิด ก็ไม่ควรดำเนินคดีอาญานายจ้าง แม้นายจ้างจะแพ้ในคดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานก็ตาม
......................................................สมบัติ ลีกัล 6 กันยายน 2550