การลาออกลูกจ้างย่อมไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ส่วนการเลิกจ้างหากลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิดตามข้อยกเว้นของกฎหมาย ลูกจ้างย่อมมีสิทธิได้รับค่าชดเชย การเขียนหนังสือลาออกแต่ ระบุเหตุที่ลาออกว่า บริษัทเลิกจ้าง จึงขัดแย้งกันในตัว แท้จริงแล้วลูกจ้างลาออกหรือถูกเลิกจ้างกันแน่ ยังสงสัยอยู่ ?
ลูกจ้างลาออกหรือถูกเลิกจ้างเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ลำพังเพียงพิจารณาจากหนังสือเลิกจ้างก็อาจเป็นไปได้ทั้งลาออกหรือเลิกจ้าง คดีในศาลมีบ่อยครั้งที่นายจ้างถือหนังสือลาออกมายืนยันกับศาล แต่ศาลก็ฟังข้อเท็จจริงว่า ลูกจ้างถูกเลิกจ้างก่อนจึงค่อยเขียนหนังสือลาออก นายจ้างเลยแพ้คดี
เรื่องที่กำลังเขียนอยู่นี้ หนังสือลาออกก็ระบุเหตุผลไว้ชัดว่า ลาออกเพราะถูกบริษัทเลิกจ้าง ยิ่งชวนให้เชื่อเข้าไปใหญ่ว่า ลูกจ้างน่าจะถูกเลิกจ้างก่อนแล้วจึงเขียนหนังสือลาออกภายหลัง
หากเป็นเช่นนี้ ลูกจ้างก็น่าจะชนะคดี
เมื่อลาออกหรือเลิกจ้างเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่อาจด่วนสรุปเสียทันทีว่า เรื่องอย่างนี้ต้องเป็นการเลิกจ้างเสมอไป ศาลจึงต้องพิจารณาพยานทั้งบุคคลและเอกสารต่างๆประกอบเสียก่อน หากข้อเท็จจริงเอียงไปทางใด ทางนั้นก็ชนะคดี
มีคดีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง ลูกจ้างทำงานบกพร่องมาตลอด ย้ายงานก็แล้ว ลดค่าจ้างก็แล้ว ลดตำแหน่งก็แล้ว ลูกจ้างก็ไม่ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น นายจ้างก็เลยออกหนังสือเตือนให้ปรับปรุงตัวเองภายใน 3 เดือน ลูกจ้างก็ยังไม่ปรับปรุงตัว กลับไปต่อรองกับผู้บังคับบัญชาขอให้เลิกจ้างอีก ในที่สุดผู้บังคับบัญชาจึงเสนอให้ลูกจ้างลาออกโดยจะให้เงินพิเศษจำนวนหนึ่ง ลูกจ้างจึงเขียนหนังสือลาออก โดยระบุเหตุที่ลาออกว่า บริษัทเลิกจ้าง ต่อมาลูกจ้างนำคดีขึ้นสู่ศาล เรียกค่าชดเชยอ้างว่า ถูกเลิกจ้าง เรื่องนี้ ศาลฟังว่า ลูกจ้างลาออกเอง โดยอาศัยข้อเท็จจริงและพยานแวดล้อมต่างๆดังกล่าวข้างต้นประกอบการวินิจฉัย
เห็นไหม ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนไปเมื่อได้ฟังข้อเท็จจริงโดยสมบูรณ์ เรื่องที่คิดว่าใช่อาจไม่ใช่ เรื่องที่คิดว่าไม่ใช่อาจใช่ก็เป็นไปได้ ไม่มีอะไรแน่นอนกับปัญหาข้อเท็จจริง เรื่องนี้ ลูกจ้างแพ้คดี
...................................... สมบัติ ลีกัล 1 พฤศจิกายน 2550